วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อาชญากรรมและอาชญากรคอมพิวเตอร์




                                    อาชญากรรมและอาชญากรคอมพิวเตอร์

     อาชญกรคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1.แฮกเกอร์ คือ บุคคลที่ใช้ความสามารถในทางที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย
2.แครกเกอรื คือ แฮกเกอร์ที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ในทางธุรกิจ
3.แฮกตีวิสต์ คือ แฮกเกอร์ที่ทำไปเพื่อผลประโยชนืทางการเมือง

                                 




                              อาชญากรคอมพิวเตอร์จัดออกเป็น9ประเภท
                         



1.การลักขดมยข้อมุลทางอินเทอร์เน็ต วึ่งรวมถึงการขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
2.อาชญากรนำเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดของตนเอง
3.การละเมิดสิทธิปลอมแปลงรูปแบบ
4.การใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามกอนาจาร
5.การใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน
6.การที่มีอิธพลทางคอมพิวเตอร์ที่เข้าไปก่อกวนทำลายสาธรณูปโภค เช่น ระบบจ่ายน้ำ จ่ายไฟ
7.การหลอกลวงให้ร่วมค้าขายสินค้าหรือลงทุนปลอมแปลง
8.การแทรกข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้นมาเป็นประโยชนืต่อตนดดยมิชอบ เช่น ลักลอบค้นหา รหัสบัตรเครดิตผู้อื่มาใช้

กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

                                               กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
   1.กฎหมายครุ้มครองข้อมุลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว
   2.กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เพื่อคุ้มครองสังคมจากความปิดที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร
   3.กฎหมายการพาณิชยือิเล้กทรอนิกส์ เพื่อคุ้มครองการทำธุรกรรมทา่งอินเทอร์เน็ต
   4.กฎหมายการสับเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อที่จะเอื้อให้มีการทำนิติกรรมสัยยาทางอิเล็กทรอนิกส์
   5.กฎหมายลายมอชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คู่กรณีในอันที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อการลงลายมือชื่อ
   6.กฎหมายโอนเงินอิเล้กทรอนิกส์ เพื่อคุ้มครองผุ้บริโภคและสร้างหลักประกันที่มั่นคง
   7.กฎหมายโทรคมนาคม เพื่อวางกลไกในการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ
   8.กฎหมายระหว่างประเทส องค์กรระหว่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
   9.กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับอินเทอร์เน็ต
   1.กฎหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์


                                  

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 6 จริยธรรมและความปลอดภัย

        บทที่ 6           จริยธรรมและความปลอดภัย 


                                                    ความหมายจริยธรรม

         จริยธรรม มีคำจำกัดความจริยธรรมอยู่หลายความหมาย เช่น หลักธรรมศีลธรรม ในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ มาตรฐานของการปฏิบัติวิชาชีพที่ได้รับ ข้อตกลงกันในหมู่ประชชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูกและหลีกเลี่ยงการกระทำผิด
     1.การใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย หรือก่อความรำคาย เช่น การนำภาพหรือข้อมูลส่วนตัวบุคคลไปลงอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาติ
     2.การใช้คอมพิวเตอร์ในการขโมยข้อมูล
     3.การเข้าถึงข้อมูลหรือคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติ
     4.การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวรื


                             กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม มี 4 ประเด็น คือ
     1.ความเป็นส่วนตัว คือ การรวบรวม การเก็บรักาา และการเผยแพร่
     2.ความถูกต้อง คือ ความถูกต้องแม่นยำขอิงการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ
     3.ทรัพสินทางปัญญา คือ กรรมสิทธิ์และข้อมูลของข้อมูลสารสนเทศ
     4.การเข้าถึงข้อมูล คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ


                                                 
     ความเป็นส่วนตัว
     ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไป หมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง
        ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อสังเกต ดังนนี้
     1.การเข้าไปดุข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกสืและการบันทึกข้อมูลในคอมพิวเตอร์รวมทั้งการบันทึก
     2.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจหรือจับเฝ้าดูการปฏิบัติงานและการให้บริการของพนักงาน
     3.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆเพื่อผลประโยชน์ในการขายตลาด
     4.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่


                                                           ความถูกต้อง
     ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่สำคัยประการหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ข้อมูลจะมีความเนื่อเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถุกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย ประเด้นด้านจริยธรรม ที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้องของข้อมูล โดยทั่วไปจะพิจรณาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมึลที่จัดเก็บและเผยแพร่ เช่น ในกรรีที่องคืการให้ลูกค้าลงทะเบียนด้วยตนเอง หรือกรณีของข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์

                                                      ทรัพย์สินทางปัญญา
       ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง สิทธิความเป้นเจ้าของในการถือทอดทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับถือได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์
     ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมาย กฎหมายความลัีบทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร
      ลิขสิทธิ  ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 หมายถึง สิทธิแต่ผุ้เดียวที่จะกรพทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผุ้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป้นสิทธิในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลปื ตามพระราชบัยญัติดังกล่าวลิขสิทธิทั่วไปมีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์ขึ้น
      สิทธิบัตร  ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522  หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุ 20 ปี นับแต่วันขอสิทธิบัตร ในขณะที่สหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
    อนุสิทธิบัตร   หมายถึง   เอกสารสิทธิที่แสดงถึงการจดทะเบียนคุ้มครองการประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้คุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ทางอุตสาหกรรมที่มีความมใหม้่ และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้เช่นกัน แต่แตกกันตรงที่สิทธิบัตรที่เป็นการประดิษฐ์ที่มีเทนิคไม่สุงมากนักอาจจะเป้นการปรับปรุงเพียงเล้กน้อย


                                                      การละเมิดลิขสิทธิ 
   1.การละเมิดลิขสิทธิโดยตรง คือ การทำซ้ำ การดัดแปลง เผยแพร่โปรแกรมมคอมพิวเตอร์แก่สาธารณชนรวมทั้งการนำต้นฉบับหรือสำเนาดังกล่าวออกให้เช่า ดดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
   2.การละเมิดลิขสิทธิโดยทางอ้อม  คือ  การกระทำทางการค้า หรือการกระทำที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการละเมิดสิทธิดังกล่าว โดยกระทำรู้อยุ่แล้วว่างานใดได้ทำขึ้นดดดยละเมิดลิขสิทธิให้เช่าซื้อ เสนอให้เช่า

                                                         การเข้าุถึงข้อมูล
      ปัจจุบันการเข้าใช้งานดปรแกรมหรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งาน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเข้าไปดำเนินการต่างๆ กับข้อมุลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้ระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง

ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ


     การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจนสามรถนำมาใช้ประดยชน์ได้อย่างมาก นับได้ว่าเป้นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือยุคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์อย่างมหาศาลยังผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สามารถจำแนกผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศแบ่งออกเป็น  2  ด้าน คือ  ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสังคมในทางบวกหรือทางที่ดีนั้น มีดังนี้

     1.ช่วยส่งเสริมความสะดวกสะบายของมนุษย์  เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยทำให้มนุษย์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ช่วยเสริมให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้มนุษย์รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น ไม่ต้องเสียงภัยกับงานที่มีอันตราย มีเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ทำให้ติดต่อถึงกันได้สะดวก

     2.ช่วยทำให้ผลผลิตในอุตสาหกรรมดีขึ้น   ระบบการผลิตสินค้าในปัจจุบันเป็นระบบที่ต้องการผลิตสินค้าจำนวนมาก มีคุณภาพมาตรฐาน การผลลิตในสมัยปัจจุบันใช้เครื่องจักรทำงานอย่างอัตดนมัติ สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง สินค้าที่ได้มีคุณภาพดีและปริมาณเพียงพอ

     3.ช่วยส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยให้มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสาร เช่น เครือข่ายคอมพิวเตอร์ช่วยให้งานค้นคว้าวิจัยมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์ช่วยงานคำนวณที่ซับซ้อนซึ่งแต่ก่อนทำไดยาก เช่น สำรวจทางด้านอวกาศ งานพัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์และสารเคมีต่างๆ ทำให้ได้สูตรยาไหม่ๆเพิ่มขึ้น

     4.ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยุ่ให้ดีขึ้น  คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้กิจการทางด้านการแพทย์เจริยก้าวหน้าขึ้นมาก ปัจจุบันเครื่องมือทางการแพทย์ล้วนแล้วแต่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการดำเนินการ ช่วยในการแปลผล เรามีเครื่องมือตรวจหัวใจที่ทันสมัย มีเครื่องเอ็กซเรย์ภาคตัดขวางที่สามารถตรวจดูอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้อย่างละเอียด เป็นฐานความรุ้ เพื่อให้ใช้ประโยชนืได้กว้างขวางขึ้น เช่น  การสร้างขาเทียม แขนเทียม การสร้างเครื่องกระตุ้นหัวใจ

     5.ช่วยส่งเสริมสติปัญญาของมนุษย์  คอมพิวเตอร์มีจุดเด่นที่ทำให้การทำงานต่างๆรวดเร็วมีความแม่นยำ และสามารถเก็บข้อมูลต่างๆไว้ได้มาก การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนบางอย่างการกระทำได้ดีและรวดเร็ว แต่คอมพิวเตอร์สามารถทำงานเสร็จในเวลาไม่กี่วินาที ดังนั้น จึงมีการนำคอมพิวเตอร์มาจำลองเหตการณ์ต่างๆ เพื่อให้มนุษย์หาทางศึกษาหรือแก้ไขปัยหา เช่น การจำลองสภาวะของสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ของมนุษย์ได้ดี ปัจจุบันมีการนำบทเรียนมาไว้ในคอมพิวเตอร์และให้เรียนรุ้ผ่านคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือวีไอวี

     6.เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง  การใช้เทคดนดลยีเป็นเรื่องทีจำเป็นต่ออุตสาหกรรมกิจการค้าขาย ธุรกิจต่างๆ ช่วยส่งเสริมงานทางด้สนเศรษฐกิจ ทำให้กระแสเงินหมุนเวียนได้อย่างกว้างขวาง ผุ้ผลิตในวงการอุตสาหกรรมจะผลิตสินค้าได้มาก ลดต้นทุน ธุรกิจอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเลก็กทรอนิกส์ระหว่างกัน

     7.ช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน  การสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ช่วยย่อโลกให้เล้กลง สังคมโลกมีสภาพไร้พรมแดน มีการเรียนรุ้วัฒนธรรมซึ่งกันและกันมากขึ้น เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดี ทำให้ลดปัญหาความขัดแย้ง

  8.ช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย  ในการเลือกตั้งสามชิกผู้แทนราษฎรทุกครั้งมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อกระจายข่าวสาร เพื่อให้ประชาชนได้เห็นความสำคัยของระบบประชาธิปไตยแม้แต่การเลือกตั้งก้มีการใช้คอมพิวเตอร์รวมผลคะแนน ใช้สื่อโทรทัศน์ วิทยุ



                                                     ผลกระทบในทางลบ

     1.ทำให้เกิดอาชญากรรม   เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหนทางในการทำการอาชญากรรมได้โจรผู้ร้ายอาจใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการวางแผนปล้น วางแผนโจรกรรม มีการโจรกรรมหรือแก้ไขตัวเลขบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ การลอบเข้าไปแก้ไขข้อมูลอาจทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น การแก้ไขระดับคะแนนของนักศึกษา

     2.ทำให้ความสัมพันของมนุษย์เสื่อมถอย การใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องเห็นแก่ตัว การใช้คอมพิวเตอร์หรือแม้แต่การเล่นเกมมีลักาณะการใช้งานเพียงคนเดียว ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้ลดลง ผลกระทบนี้ทำให้มีความเชื่อว่ามนุษยสัมพันธ์ของบุคคลจะน้อยลง สังคมใหม่จะเป็นสังคมที่ไม่ต้องพึ่งพากันมาก  อย่างไรก็ดีได้มีงานวิจัยคัดค้านและแสดงความคิดเห็นที่ว่าเทคโนโลยีได้ช่วยให้มนุษย์มีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้นและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

     3.ทำให้เกิดความวิตกกังวล  ผลกระทบนี้เป้นผลกระทบทางด้านจิตใจของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่มีความวิตกังวลว่าคอมพิวเตอร์อาจทำให้เกิดการว่าจ้างงานน้อยลง มีการนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ในงานมากขึ้น มีระบบการผลิตที่อัตโนมัติมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้แรงงานอาจตกงาน

     4.ทำให้เกิดการเสี่ยงภัยทางด้านธุรกิจ  ธุรกิจในปัจจุบันจำเป้นต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนดลยีสารสนเทศมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารต่างๆทั้งหมดของธุรกิจฝากไว้ในสูนยืข้อมูล เช่น ข้อมูลลูกหนี้การค้าข้อมูลสินค้าและบริการต่างๆ หากเกิดสุญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากเหตุอุบัติภัย เช่น ไฟไหม้
 น้ำท่วม

     5.ทำให้มีการพัมนาอาวุธที่มีอำนาจทำลายสูง  ประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสร้างอาวิธที่มีอานุภาพการทำลายสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสงครามและมีการสูญเสียมากขึ้น

     6.ทำให้เกิดการแพร่วัฒนธรรมและกระจายข่าวสารที่ไม่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรรืที่ทำงานตามคำสั่งสอนอย่างเคร่งครัด การนำมาใช้ในทางใดจึงขึ้นอยู่กับผู้ใช้จริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์เป้นเรื่องที่สำคัญ ดังเช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ตมีผู้สร้างโฮมเพจหรือสร้างข้อมูลข่าวสารในเรื่องภาพที่ไมใ่เหมาะสม เช่น ภาพอนาจาร หรือภาพที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย การดำเนินการเช่นนี้ย่อมขึ้นอยู่กับจริยธรรมของผู้ดำเนินการ นอกจากนี้ยังมีการปลอมแปลงระบบจดหมายเพื่อส่งจดหมายถึงผู้อื่นโดยมีเจตนา

     7.ทำให้ข้อมูลหรือดปรแกรมถูกทำลายได้ง่าย   ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศมีการพัฒนามากข้อมูลก็มีความสำคัยมากขึ้นตามไปด้วย เทคโนโลยีทำให้ข้อมูลทำลายได้ง่าย อาจถูกทำลายด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรใมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่สามารถทำสำเนาเข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ สามารถแพร่ไปยังระบบคอมพิวเตอรือื่นๆ ได้โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ไวรัสบางชนิดทำลายดปรแกรมหรือข้อมูลต่างๆ บางชนิดทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง ผลกระทบต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์และจุดประสงค์ของผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น ว่าต้องการให้ดปรแกรมทำงานอย่างไร

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลง

                                       เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลง

       แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมดลก เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร้ว ทุกทิศทุกทาง ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดแนวดน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้าน และเป็นที่กล่าวกันมาก ดังนี้
       1.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้สังคมเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมมาเป็นสารสนเทศสภาพของสังคมดลกได้เปลี่ยนแปลงมาแล้ว 2 ครั้ง จากสังคมความเป็นอยุ่แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรที่มีการเพาะปลูก ทำให้มีการสร้างบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมาจำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนถูกลง จึงต้องหันมาผลิตแบบอุตสาหกรรมทำให้สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนนแปลงมาเป็นสังคมเมือง มีการรวมกลุ่มอาศัยเป็นเมือง สังคมอุตสาหกรรมได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบันและเข้าสู่สังคมสารสนเทศ ดำเนินธุรกิจใช้สารสนเทศอย่างกว้างขวาง เกิดคำใหม่ขึ้นว่า ไซเบอร์สเปช  เช่น  การพูดคุยผห่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

      2.เทคโนดลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแปบบตอบสนองตามความต้องการของผุ้ใช้ เช่น การดูโทรทัศน์ วิทยุ เมื่อเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ วิทยุ ไม่สามารถเลิอกตามความต้องการได้ หากไม่พอใจก็ทำได้เพียงเปลี่ยนสถานีใหม่

      3.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพการทำงานแบบทุกสถานที่ และทุกเวลา เมื่อมีการสื่อสารก้าวหน้าแลแพร่หลายขึ้น การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทำให้มีการปฏิสัมพันธ์ได้ เกิดระบบการประชุมทางวิดีทัศน์ ระบบประชุมบนเครือข่าย ระบบโทรทัศน์ ระบบโทรศึกาา ระบบการค้าบนเครือข่าย ผู้ใช้ขยายขอบเขตการดำเนินกิจกรรมไปทุกที่ทุกเวลา ตลอด24 ชั่วโมง เช่น ระบบเอทีเอ็ม ทำให้การเบิกจ่ายได้เกือบตลอดเวลา

     4.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบท้องถิ่นไปเป็นเศรษฐกิจดลก ระบบเศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศก้กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ทั่วโลกจะมีกระแสการหมุนเวียน แลกเปลี่ยนสินค้าบริการอย่างรวดเร็ว

     5.เทคโนโลยีสารสนเทสทำให้องคืกรมีลักษณะผูกพัน หน่วยงานภายในเป้นแบบเครือข่ายมากขึ้น แต่เดิมการจัดองคืกรมีการวางเป็นลำดับขั้น มีสายการบังคับบัญชาจากบนลงล่าง แต่เมื่อการสื่อสารแบบสองทางและกระจายข่าวสารดีขึ้น มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรผูกพันกันเป็นกลุ่มงาน มีแนวโน้มที่จะสร้างองค์กรเป็นเครือข่ายที่มีลักษณะการบังคับบัยชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง

    6.เทคดนดลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิธีการตัดสินใจรอบคอบมากขึ้น เช่น มีคำตอบเดียวใช่และไม่ใช่ แต่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่สนับสนุนการตัดสินใจ ทำให้วิถีความคิดในการตัดสินปัญหาเปลี่ยนไป ผู้ตัดสินใจมีทางเลือกได้มาก และมีความรอบคอบในการตัดสินปัยหาได้ดีขึ้น

    7.เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทที่สำคัยในทุกวงการ ดังนั้นจึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม การศึกษาเศรษฐกิจและการเมืองอย่างมากทำให้สามารถชมข่าว ชมรายการโทรทัศน์ที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ทั่วโลกสามารถรับรุ้ข่าวได้ทันที

บทที่5 การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ

                       บทที่5   การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ

        เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีที่มีการแพร่ขยายตัวอย่างเร็ว จนมีความสามาถในการใช้งานเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีราคาถูกลง ผลของการพัฒนานี้ทำให้มีการประยุกต์ใช้งานกันอย่างกว้างขวาง

    สหรัฐอเมริกาเป็นประเทสหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในอดีตประเทศ    สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเกษตรกรรม   ต่อมามีการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตประเทศอุตสาหกรรม โครงสร้างการผลิตของสหรัฐอเมริกาเน้นไปที่ธุรกิจบริการการใช้สารสนเทศกันมาก

     หากพิจรณาการใช้งานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารทั่วไปของโลก ปัจจุบันมูลค่าสินค้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าสนใจคือพัฒนาแล้ว 10 ประเทศ คือ
ได้แก่    สหรัฐอเมริกา สิงค์โปร ฟินแลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ไอซ์แลนด์ สวีเดน แคนนาดา และสวิตเซอร์แลนด์ มีสัดส่วนการใช้คอมพิวเตอร์มากถึงกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณการใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก

    ถ้าพิจรณาบริษัทผู้ผลิตสินค้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศพบว่า ประเทสผู้ผลิตเพื่อส่งออกมีเพียงไม่กี่ประเทศทั่วโลก ประเทสเหล่านี้ส่วนมากมีเทคโนโลยีของตนเอง

   ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร ทำให้อุปกรณ์ต่างๆมีขนาดเล็กลงแต่มีความสามรถเพิ่มขึ้น และมีราคาถูกจนผู้ที่สนรใจสามารถซื้อมาใช้ได้

    ปัจจุบันคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารได้สร้างประโยชน์อย่างมากต่อวงการธุรกิจ ทำให้ธุรกิจมีการลงทุนขยายขอบเขตการให้บริการโดยใช้ระบบสารสนเทศกันมากขึ้น กลไกเหล่านี้ทำให้โอกาสการขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้นตามไปด้วย การเชื่อมโยงเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้สังคมโลกเป็นสังคมแบบไร้พรมแดน การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต มีอัตราการขยายตัวสูงมาก

ประเภทของระบบสารสนเทศ


              ปัจจุบันจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากบริหารงานในองค์การมีหลายระดับ ดังนั้นระบบสารสนเทศของแต่ละองค์การอาจแบ่งประเภทแตกต่างกันไป ซึ่งมี  3  ประเภท ดังนี้
    1.ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการทำงานของผู้ปฎิบัติงานหรือผู้บริหารระดับต่างๆ
    2.การจำแนกตามหน้าที่ขององค์การ
    3.การจำแนกตามการให้สนับสนุนของระบบสารสนเทศ

              ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการทำงานของปฎิบัติงานหรือผู้บริหารระดับต่างๆ แบ่งได้ดังนี้

      1.ระบบประมวลผลรายการ  เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำ ทำการบันทึกจัดเก็บ ประมวลผลรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนการทำงานด้วยมือ ระบบประมวลผลรายการนี้ ส่วนใหย่จะเป็นระบบที่เชื่อมต่อกับกิจการลูกค้า เช่น ระบบการจองตั๋วเครื่องบิน ระบบการฝากถอนเงินอัตโนมัติ

     2.ระบบสร้างความรู้  เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการใหม่ ความรู้ใหม่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน หน่วยงานต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น

     3.ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง  เป็นระบบที่สร้างสนเทศเชิงกุลยุธท์สำหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของกิจการ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ ข้อมูลระดับบโลกแนวโน้มระดับสากลเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันของธุรกิจ


                      ระบบสารสนเทศการจำแนกตามหน้าที่ขององค์การ
    การจำแนกสารสนเทศประเภทนี้จะเป็นการสนับสนุนการทำงานตามหน้าที่หรือการทำกิจกรรมขององค์การ ระบบสารสนเทศในงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ต่างๆ เช่น
   1.ระบบสารสนเทศด้านบัญชี
   2.ระบบสารสนเทศด้านการเงิน
   3.ระบบสนเทสด้านการผลิต
   4.ระบบสารสนเทศด้ารการตลาด
   5.ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรมนุษย์

               ระบบสารสนเทศการจำแนกตามการให้การสนับสนุนของระบบสารสนเทศ
ระบบสารสนเทศ แบ่งเป็น 3 ระบบ
   1.ระบบสารสนเทศประมวลผลรายการ  เป็นระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการบันทึกและประมวลข้อมูลที่เกิดจากธุรกรรมหรือการปฏิบัติงานประจำหรืองานขั้นพื้นฐานขององค์การ เช่น การซื้อขายสินค้า การบันทึกจำนวนวัสดุคงคลัง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะเกิดขึ้นทันที เช่น ทุกครั้งที่มีการสินค้า ข้อมูลที่เกิดขึ้น คือ ประเภทของลูกค้า ราคา จำนวน
   2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
เป็นระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง ใช่้ในการวางแผน การบริหารจัดการ และการควบคุม ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่ในระบบประมวลผลรายการเข้าด้วยกัน เพื่อประมวลและสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการบริหาร เช่น ระบบริหารงานบุคลากรผลลัพธ์ของระบบนี้มักอยุ่ในรูปของรายงานสรุป
   3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ  เป็นระบบที่ช่วยบริหารในการตัดสินใจสำหรับปัญหา หรือที่มีโครงสร้างหรือขั้นตอนในการหารคำตอบที่แน่นอนเพียงบางส่วน ข้อมูลที่ต้องอาศัยทั้งข้อมูลภายในกิจการและภภายนอกกิจการประกอบกัน ระบบยังต้องสามารถเสนอทางเลือกให้ผู้บริหารพิจรณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานะการณ์นั้น โดยให้ผู้ใช้ได้ตอบโดยตรงกับระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและกระบวนการพิจรณาได้โดยอาศัยเงื่อนไขต่างๆ
           ดังนั้นกล่าวได้ว่า ข้อมูลคือ ข้อเท็จจริงที่เราสนใจไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆข้อมูลสามารถได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น โทรทัศน์ มือถือ วิทยุ



วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์

         การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์
     คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยหลักการทางอิเลกทรอนิกส์ที่ใช้สัญญานทางไฟฟ้าแทนตัวเลขศูนย์และหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเลขในระบบฐานสองแต่ละหลักเรียกว่า บิตและเมื่อนำตัวเลขหลายๆบิตมาเรียงกัน จะใช้สร้างรหัสแทนจำนวนอักขระหรือสัญลักษณ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ และเพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เป็นไปแนวเดียวกัน จึงมีการกำหนดมาตรฐานรหัสแทนข้อมูลในระบบเลขสองฐานโดยรหัสมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากมี 2กลุ่ม คือ รหัสมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาและรหัสสับเปลี่ยนเลขฐานสิบเข้ารหัสฐานสองแบบขยาย. 
     รหัสแอสกี   การกำหนดรหัสแทนข้อมูลขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูลและคอมพิวเตอร์รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระที่เป็นมาตรฐานแบบหนึ่งเรียกว่า. รหัสแอสกี มาจากชื่ออังกฤษ
รหัสอักขระแต่ละตัวประกอบด้วย8บิต. คือ
     บิตที่ 7 6 5 4 3 2 1
          ตัวเลขฐานสอง8บิต หรือ 1ไบต์. สามารถใช้แทนรหัสต่างๆได้ถึง 256ตัว แต่รหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมดมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 128 ตัว
        ดังนั้น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจึงได้กำหนดภาษาไทยเพิ่มเติมเพื่อใช้ในงานสารสนเทศเป็นภาษาไทยได้. เช่น
        10100001= 1 ไบต์ ใช้แทนอักษร ก
        10100010= 1 ไบต์  ใช้แทนอักษร ข
        100100100= 1ไบต์ ใช้แทนอักษร ค

      
                       รหัสเอบซีดิก

เป็นกาีกำหนดรหัสแทนตัวอักขระที่ใช้กันแพร่หลายอีกแบบหนึ่ง การกำหนดรหัสตะใช้ 8 บิต. เหมือนกับรหัสแอสกี แต่แบบของรหัสที่กำหนดจะแตกต่างกัน คือ. 
     บิตที่ 0 1 2 3 4 5 6 7
    หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดในระบบคอมพิวเตอร์มีค่าข้อมูลเป็นตัวเลขระบบฐานสอง คือ 0 และ 1บิต มักใช้เป็นหน่วยวัดความสามารถจองไมโครโพรเซสเซอร์ในการประมวลผลข้อมูล เช่น 16 บิตหรือ 32 บิต เท่ากับ 1 นิบเบิล 


                   ระบบเลขฐานสอง
ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ต้องได้พบเจอกับจำนวนและการคำนวณอยู่ทุกวัน หากเราสังเกตจะพบว่าจำนวนที่เราคุ้นเคยอยู่ทุกวันนั้นไม่ว่าจะเป็นการซื้อของเป็นเงิน 39,587฿
จำนวนเงินฝากในธนาคาร 1,426,000฿หรือจำนวนใบแจ้งหนี้ค่ามือถือจำนวน 2,560฿ ล้วนแล้วแต่ประกอบขึ้นจากตัวเลข 10 ตัว คือ 0,1,2,3,4,5,6,7,8 และ 9
          ต่อมา เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์.
ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ที่ทำงานแบบดิจิทัล และใช้ระดับปรงดันไฟฟ้าแสดงสถานะเพียง 2 สถานะ คือ ปิด(แทนด้วยo) และเปิด(แทนด้วย1)
   นอกจากระบบเลขฐานสองแล้ว ในการทำงานของคอมพิวเตอร์ยังอาจเกี่ยวข้องกับระบบตัวเลขระบบอื่น เช่น ระบบเลขฐานแปดและระบบเลขฐานสิบหก ซึ่งระบบเลขฐานสองจะมีแนวคิดในทำนองเดียวกันกับระบบเลขฐานสองและฐานสิบ

ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์

       ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์
ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล บุคลากร กระบวนงาน  และโทรคมนาคม ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อทำการรวบรวม จัดการ จัดเก็บและประมวลผล
     1.ฮาร์ดแวร์. คือ. อุปกรณ์ทางกายภาพซึ่งก็คือเครื่องคอมพอวเตอร์และหน้วยประมวลผลต่างๆที่ใช้ในการรวบรวม การนำเข้า และการจัดเก็บข้อมูล



     2.ซอฟต์แวร์.  ประกอบด้วยกลุ่มของโปรแกรมที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใช้ในการประมวล,ข้อมูลเป็นสารสนเทศ

                                  
      
      3.ข้อมูล.  ในส่วนนี้หมายถึง ข้อมูลและสารสนเทศที่ถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูลโดยฐานข้อมูล หมายถึง กลุ่มจองข้อมูลและสารสนเทศที่มีความเกี่ยวข้องกัน

     4.บุคลากร. หมายถึง  บุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้พนักงานคอมพิวเตอร์ ผู้ควบคุมระบบ  นักเขียนโปรแกรม นักวิเคราะห์ระบบ

     5.กระบวนงาน.  หมายถึงถึง กลุ่มของคำสั่งหรือกฎที่แนะนำวิธีการปฏิบัติงานหัวคอมพิวเตอร์ ในระบบสารสนเทศ ซึ่งอาจได้แก่การแนะนำการควบคุมการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์
      6.การสื่อสารข้อมูล. หมายถึง การส่งสัญญาณ อิเลกทรอนิกส์เพื่อติดต่อสื่อสารและช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครื่อข่าย. ที่มีประสิทธิภาพได้ โดยเครือข่ายใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไว้ด้วยกัน อาจจะเป็นภายในอาคารเดียวกันในประเทศเดียงกันหรือทั่วโลก

ระบบสารสนเทศ

                    
ระบบสารสนเทศ หมายถึ ระบบที่ดำเนินการจัดการจ้อมูลข่าวสารในองค์กรให้สามรถนำมาใช้ได้อย่างระบบระเบียบ โดยมีหรือไม่มีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ แต่ในที่นี้จะหมายถึงระบบที่มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดการข้อมูลข่าวสารคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดการข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ได้มาเพื่อสารสนเทศเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้องที่สุด


                                    

การจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

                                             การจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

  การทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินการ เริ่มตั้งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดำเนินการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ และการดูแลรักษาสารสนเทศเพื่อการใช้งาน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

                              (1.)การรวบรมและตรวจสอบข้อมูล  
1.การเก็บรักษาข้อมูล เป็นเรื่องของการรวบรวมข้อมูลซึ่งมีจำนวนมาก และต้องเก็บให้ได้อย่างทันเสลา เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนของนักเรียน ข้อมูลประวัติบุคลากร

2.การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการเก็บรวรวมข้อมูลแล้วจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลเพื่อความถูกต้อง หากพบผิดพลาดต้องแก้ไข การตรวจสอบข้อมูลมีหลายวิธี เช่น การใช้ผู้ป้อนข้อมูล 1 คน ผู้ตรวจสอบ 1 คน เมื่อผู้ป้อนข้อมูลเสร็จแล้ว พิมพ์ออกมาทำการตรวจสอบ หากผิดพลาดให้รีบแก้ไขทันที

                        (2.)การดำเนินการประมวลผลข้อมูลให้กลายเป็นสารสนเทศ   ประกอบด้วยกิจกรรมต่อไปนี้
1.การจัดแบ่งข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บจะต้องมีการแบ่งแยกกลุ่มเตรียมไว้สำหรับการใช้งาน การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน เช่น ข้อมูลในโรงเรียนมีการแบ่งแยกแฟ้มประวัตินักเรียนและแฟ้มลงทะเบียน

2.การจัดเรียงข้อมูล  เมื่อจัดแบ่งกลุ่มแล้ว ควรมีการจัดเรียงข้อมูลตามลำดับตัวเลข ตัวอักษร เพื่อเวลาเรียกใช้งานจะได้ประหยัดเวลา ตัวอย่างการจัดเรียงข้อมูล เช่น การจัดเรียงบัตรข้อมูลผู้แต่งหนังสือในตู้บัตรรายการของห้องสมุดตามลำดับตัวอักษร

3.การสรุปผล บางครั้งข้อมูลที่จักเด็บมีเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องมีการสรุปผลหรือสร้างรายงานย่อ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เช่น สถิติจำนวนนักเรียนแยกตามชั้นเรียน

4.การคำนวณ ข้อมูลที่เก็บมีเป็นจำนวนมาก ข้อมูลบางส่สนเป็นข้อมูลชตัวเลขที่สามารถนำไปคำนวณเพื่อหาผลลัพธ์บางอย่างได้ ดังนั้นร การสร้างสารสนเทศจากข้อมูลจึงอาศัยการคำนวณข้อมูลที่เก็บไว้ด้วย

                 (3.)การดูแลรักษาสารสนเทศเพื่อการใช้งาน    ประกอบด้วย

1.การเก็บรักษาข้อมูล  หมายถึง  การยำข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ในสื่อบันทึกต่างๆ เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล
2.การค้นหาข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีจุดประสงค์ที่จะเรียกใช้งานต่อไป การค้นหาข้อมูลจะต้องค้นถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว
3.การทำสำเนาข้อมูล การทำสำเนาเพื่อที่จะนำข้อมูลเก็บรักษาไว้หรือนำไปแดจกในภายหลังจึงควรเก็บข้อมูลให้ง่ายต่อการทำสำเนา
4.การสื่อสาร ข้อมูลต้องกระจายหรือส่งต่อไปยังผู้ใช้งานที่ห่างไกลได้ง่าย การสืื่อสารข้อมูลจึงบเป็นเรื่องสำคัญ และมีบทบาทที่สำคัญยิ่งจะทำไห้การส่งข่าวสารไปยังผู้ใช้ทำได้รวดเร็วและทันเวลา



                                                              วิธีการประมวลผลข้อมูล

ในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ หรือการทำข้อมูลให้ดป็นสารสนเทศที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จำเป็นต้องมีการประมวลผลข้อมูลก่อน การประมวลผลข้อมูลเป็นกระบวนการที่มีกระบวนการย่อย หลากหลาย  วิธีประมวลผลข้อมูลสามารถแบ่งได้ตามสภาวะการนำข้อมูลมาประมวลผลได้ 2 วิธี

1.การประมวลผลแบบเชื่อตรง
             การประมวลผลแบบนี้เป็นการทำงานในขณะที่ข้อมูลวิ่งไปบนสัญญาณเชื่อมต่อจากเครื่องปลายทาง ไปยังฐานข้อมูลของเครื่องหลักที่ใช้ในการประมวลผล การประมวลผลเเบบเชื่อมตรงจึงเป็นการประมวลผลโดยทันทีทันใด เช่น  การจองตั๋วเครื่องบิน
       
2.การประมวลผลแบบกลุ่ม
เป็นการประมวลผลในเรื่องที่สนใจเป็นครั้งๆ เช่น เมื่อต้องทราบข้อมูล ผลสำรวจ ความนิยมของประชาชนต่อการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร ก็มีการสำรวจข้อมูลเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้วก็นำมาป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วนำข้อมูลนั้นมาประมวลตามโปรแกรมที่กำหนดไว้

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สารสนเทศ

                                                                  สารสนเทศ

ความหมายของสารสนเทศ
    สารสนเทศ  หมายถึง ข้อมูลสามรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะได้ผ่านการประมวลผลด้วยวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้

                  คุณลักษณะของสารสนเทศ
1.ความถูกต้องแม่นยำ พิจรณาได้จากอัตราส่วนของสารสนเทศที่ถูกต้องกับจำนวนสารสนเทศ
2.ความทันต่อการใช้งาน พิจรณาจากสถานการณ์ เงื่อนไขเวลา ที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลสารสนเทศกับข้อสนเทศที่ได้
3.ความสมบูรณ์และกะทัดรัด พิจรณาจากการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่กระจัดกระจายให้ได้ปริมาณมากพอ ครอบคลุมประเด็นที่ต้องใช้ประโยชน์ในเรื่องนั้นๆ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายถึงการรวบรวมรายละเอียดเชิงปริมาณมากจนเกินประโยชน์ใช้สอย
4.สอดคล้องต่อความต้องการ พิจรณาจากความต้องการในการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงสารสนเทศที่จำเป็นต่อภารกิจ หน้าที่ เป้าหมาย
5.เข้าใจง่าย สารสนเทศที่มีคุณภาพจะต้องเข้าใจง่าย ไม่ซ้ำซ้อนต่อการทำความเข้าใจคือไม่แสดงลายละเอียดลึกเกินไป
6.เชื่อถือได้ สารสนเทศเชื่อถือได้ วิธีรวบรวมข้อมูลน่าเชื่อถือ
7.คุ้มราคา สารสนเทศที่ผลิตควรจะต้องมีความประหยัด
8.ตรวจสอบได้ สารสนเทศจะต้องตรวจสอบความถูกต้องได้
9.สะดวกในการเข้าถึง สารสนเทศจะต้องง่ายและสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมูลตามระดับสิทธิของผู้ใช้
10.ปลอดภัย สารสนเทศจะต้องถูกง่ายและจัดการให้มีความปลอดภัย
                 

บทที่2 ข้อมุลและสารสนเทศ

                                                  บทที่2   ข้อมุลและสารสนเทศ
        ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือลายระเอียดของสิ่งที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตการณ์ต่างๆ

       คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี  
1.ความถูกต้องแม่นยำ หากมีการเก็บรวบรวมข้อมุลเหล่านั้น เชื่อถือไม่ได้ จะทำไห้เกิดผลเสียอย่างมาก ผู้ใช้จะไม่กล้าอ้างอิงหรือนำเอาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเหตุให้การตัดสินใจของผุ้บริหารขาดความแม่นยำ และมีดอกาสผิดพลาดได้  โครงสร้างข้อมูลที่ออกแบบต้องคำนึงถึงกรรมวิธีการดำเนินเพื่อให้ได้ความถูกต้องแม่นยำที่สุด

2.มีความปัจจุบัน การได้มาของข้อมูลจำเป้นต้องไห้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้มีการตอบสนองต่อผู้ใช้ได้เร็ว ตีความหมายสารสนเทศได้ทันต่อเหตุการณ์หรือความต้องการ

3.ความสมบูรณ์ครบถ้วน ความสมบูรร์ของสารสนเทสขึ้นกับการรวบรวมข้อมูลและวิธีการทางปฏิบัติด้วย ในการดำเนินการจัดทำสารสนเทศต้องสำรวจและสอบถามความต้องการใช้ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์

4.ความกะทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากจะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากจึงจำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้กะทัดรัด สื่อความหมายได้ มีการใช้รหัสหรือย่นย่อข้อมูลให้เหมาะสม

5.ตรงความต้องการของผู้ใช้  ความต้องการเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้น จึงต้องมีการสำรวจเพื่อหาความรู้ความต้องการของหน่วยงานและองคืกร ดูสภาพการใช้ข้อมุล ความลึกหรือความกว้างของของเขตของข้อมูล

                                                      ประเภทของข้อมูล

  ( 1.)การแบ่งข้อมูลตามแหล่งกำเนิด แบ่งได้ 2 ประเภท  คือ


1.ข้อมูลปฐมภูมิ  หมายถึง ข้อมูลที่จะได้จากการเก็บรวบรวมหรือบันทึกจากแหล่งข้อมูลโดยตรง ซึ่งอาจจะได้จากการสอบถาม การสัมภาษณ์ การำสำรวจ ตลอดจนการจัดหามาด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติต่างๆ ที่ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลได้ เช่น เครื่องอ่านรหัสแท่ง เครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก

2.ข้อมูลทุติยภูมิ  หมายถึง ข้อมูลที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้ไห้แล้วบางครั้งอาจจะมีการประมวลผลเพื่อเป็นสารสนเทศ ผู้ใช้ข้อมูลไม่จำเป็นต้องไปสำรวจเอง ตัวอย่างจากข้อมูลสติต่างๆ ที่หน่วยงานรัฐบาลทำไว้แล้ว  เช่น สถิติจำนวนประชากรแต่ละจังหวัด

         (2.)การแบ่งข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล  สามารถแบ่งได้  2  ประเภท
1. ข้อมูลเชิงปริมาณ หมายถึง ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณซึ่งวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขที่สวามรถนำมาใช้เปรียบเทียบขนาดได้โดยตรง เช่น ความสูงของนักเรียน

2.ข้อมูลเชิงคุณภาพ  หมายถึง ข้อมูลที่ไม่สามรถวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขได้โดยตรง แต่วัดออกมาในเชิงคุณภาพได้ เช่น เพศ ความชอบ ความคิดเห็น
  ฉะนั้นการทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่จะเป้นประโยชน์ต่อการใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินการ เริ่มต้องแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดำเนินประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ และการดูแลรักาาสารสนเทศเพื่อการใช้งาน

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ

    ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ 

        การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณ50ว่าปีที่แล้ว นับเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทส ใน่ช่วงแรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป้นเครื่องคำนรวณ ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดเก็บข้อมูล

   1.การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  สภาพความเป้นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกตร์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องซักผ้าใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน



2.เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกแห่งหนแม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางผ่านดาวเทียม



3.สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ เช่น วิดีทัศน์ เครื่องฉายภ่พ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอรืช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน





4.เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม  การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทส เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมุล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียนม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข










5.เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ  กิจการทางด้านทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกันภัย ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน





6.การผลิตในอุตสหกรรม และการพาณิชยกรรม  การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีในการผลิตให้ได้มาก และให้ราคาถูกลง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาท มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูก






ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

                                       ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

 พื้นฐานเทคโนดลยีย่อมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริยก้าวหน้าได้แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีการเป็นอยุ่สังคมสมัยใหม่อยู่มาก ลักษณะเด่นที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ  มีดังนี้
          1.เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนร และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลิตลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติ เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มไดด้ตลอดเวลา




          2. เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย  เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูลและการใช้ข้อมูลได้ดี การบริการต่างๆ จึงเน้นรูบแปบกระจาย ผุ้ใช้่สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน สามารถสอบถามข้อมูล่านโทรศัพท์




          3.เทคโนโลยีสารสนเทศเป้นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในองคืการ ประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎรที่จัดทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์




      4.เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ  พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ชีวิตความเป็นอยุ่ของคนเกี่ยวข้องกับเทคดนโลยี ดังจะเห็นได้จากการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์การใช้ตารางคำนวณ



วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ


                เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังเข้ามามีบทบาทต่อการชีวิตประจำวันอย่างมาก สังเกตได้จากการนำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาใช้ในสำนักงาน การใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ แสดงว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณและเก็บข้อมูลได้เเพร่ไปทั่วทุกแห่ง เทคโนโลยีสารสนเทศเกิดขึ้นได้ไม่นาน เมื่อราว พ.ศ. 2500 เมื่อมีการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ช่วยสารงานสารสนเทศมากขึ้น  เช่น  เครื่องถ่ายสำเนาเอกสาร เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า และเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  ระบบสารสนเทศที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้ คือ เทคโนโลยีแบบสื่อประสม ซึ่งรวมข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงเข้าด้วยกัน

              เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการสารสนเทศมากที่สุด คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ วึ่งมีวิวัฒนาการ การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ดังนี้
            ยุคที่1  การประมวลผลข้อมูล  ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลของงานประจำ เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
            ยุคที่2  ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจดำเนินการ ควบคุม ติดตามผล และวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหาร
            ยุคที่3  การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ  การใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเน้นถึงการใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสุ่ความสำเร้จ
           ยุคที่4  เทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคไอที  ความเจริญของเทคโนดลยีมรสูงมาก มีการขยายขอบเขตการประมวลผลข้อมูลไปสุ่การสร้างและการผลิตสารสนเทศทำให้สามารถสร้างทางเลือกและรูปแบบใหม่ของสินค้าและบริการ

นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

                                                 นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

  เทคโนโลยี  หมายถึง  การประยุกตร์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ เทคโนโลยีเป็นคำที่มีความหมายกว้างขวาง เป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินมาอยู่ตลอด


สารสนเทศ   หมายถึง  ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเป็นจำนวนมาก เรียนรู้สภาพสังคมที่เป็นอยู่กฎเกณฑ์และวิชาการ  ดังนั้นจะเห็นได้ชัดว่าความรู้เกิดจากข้อมูลข่าวสารต่างๆทุกวันนี้มีข้อมูลรอบตัวมาก ข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เครื่อข่าย คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งสื่อสารระหว่างบุคคล

  ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศสารหรือไอที จึงหมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวม การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล  เป็นต้น

    เทคโนโลยีสารสนเทศ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะประกอบด้วย 2 สาขา คือ  เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารสนเทศ ทั้งสองมีการทำงานสัมพันธ์กัน ดังนี้


1.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  เป็นเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนา สารสนเทศจะใช้การจัดระบบสารสนเทศ เพื่อให้ได้สารสนเทศตามที่ต้องการอย่างถูกต้อง รวดเร้วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือก การจัดหา การวิเคราะห์เนื้อหา






2.เทคโนโลยีโทรคมนาคม  คือเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารทางไกลหรือโทรคมนาคม เช่น มือถือ โทรเลข เทเลกซ์ วิทยุ โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง การสื่อสารดาวเทียม เทคโนโลยีใยแก้วนำแสง และระบบเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และไกลจะช่วยถ่ายทอดและการสื่อสารข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผุ้ใช้ต่างๆ โดยที่ผู้รับสารสนเทศหรือผู้ใช้ไม่จำเป้นต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาด้วยตนเอง เช่น ระบบโทรสาร การประชุมทางไกล
       



บทที่1. บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ

                             บทที่1 บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ
     การดำรงชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันนี้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอน การอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ต้องใช้สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ซึ่งมีหลากหลายยี่ฮ่อให้เลือกใช้ การเดินทางไปทำงานต้องอาศัยรถยนตร์ รถจักรยานยนตร์ เรียนหนังสือต้องใช้ปากกา ดินสอ  หุงข้าวต้องหุงกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้า
 ในอดีตมนูษย์จะอาสัยอยู่ในถ้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆก็เกิดขึ้นมาแล้ว ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต มีการพัฒนาเครื่องมือในการล่าสัตว์ เครื่องมือในการเดินทาง ต่อมามนุษยืสามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทกว้างขวางในทุกวงการ เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานทุกด้าน นับตั้งแต่การศึกษา พาณิชยกรรม เกษตรกรรม อุตสาหกรรม สาธารณสุข การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนด้านการเมืองและวงราชการ   ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำรงชีวิตเป็นอันมากเทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐานสามรถผลิตสินค้าและให้บริการต่างๆ