บทที่ 6 จริยธรรมและความปลอดภัย
ความหมายจริยธรรม
จริยธรรม มีคำจำกัดความจริยธรรมอยู่หลายความหมาย เช่น หลักธรรมศีลธรรม ในแต่ละวิชาชีพเฉพาะ มาตรฐานของการปฏิบัติวิชาชีพที่ได้รับ ข้อตกลงกันในหมู่ประชชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูกและหลีกเลี่ยงการกระทำผิด
1.การใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย หรือก่อความรำคาย เช่น การนำภาพหรือข้อมูลส่วนตัวบุคคลไปลงอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาติ
2.การใช้คอมพิวเตอร์ในการขโมยข้อมูล
3.การเข้าถึงข้อมูลหรือคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติ
4.การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวรื
กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม มี 4 ประเด็น คือ
1.ความเป็นส่วนตัว คือ การรวบรวม การเก็บรักาา และการเผยแพร่
2.ความถูกต้อง คือ ความถูกต้องแม่นยำขอิงการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ
3.ทรัพสินทางปัญญา คือ กรรมสิทธิ์และข้อมูลของข้อมูลสารสนเทศ
4.การเข้าถึงข้อมูล คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ
ความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไป หมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง
ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อสังเกต ดังนนี้
1.การเข้าไปดุข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกสืและการบันทึกข้อมูลในคอมพิวเตอร์รวมทั้งการบันทึก
2.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจหรือจับเฝ้าดูการปฏิบัติงานและการให้บริการของพนักงาน
3.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆเพื่อผลประโยชน์ในการขายตลาด
4.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่
ความถูกต้อง
ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่สำคัยประการหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ข้อมูลจะมีความเนื่อเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถุกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย ประเด้นด้านจริยธรรม ที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้องของข้อมูล โดยทั่วไปจะพิจรณาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมึลที่จัดเก็บและเผยแพร่ เช่น ในกรรีที่องคืการให้ลูกค้าลงทะเบียนด้วยตนเอง หรือกรณีของข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์
ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง สิทธิความเป้นเจ้าของในการถือทอดทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับถือได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์
ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมาย กฎหมายความลัีบทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร
ลิขสิทธิ ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 หมายถึง สิทธิแต่ผุ้เดียวที่จะกรพทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผุ้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป้นสิทธิในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลปื ตามพระราชบัยญัติดังกล่าวลิขสิทธิทั่วไปมีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์ขึ้น
สิทธิบัตร ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุ 20 ปี นับแต่วันขอสิทธิบัตร ในขณะที่สหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
อนุสิทธิบัตร หมายถึง เอกสารสิทธิที่แสดงถึงการจดทะเบียนคุ้มครองการประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้คุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ทางอุตสาหกรรมที่มีความมใหม้่ และสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้เช่นกัน แต่แตกกันตรงที่สิทธิบัตรที่เป็นการประดิษฐ์ที่มีเทนิคไม่สุงมากนักอาจจะเป้นการปรับปรุงเพียงเล้กน้อย
การละเมิดลิขสิทธิ
1.การละเมิดลิขสิทธิโดยตรง คือ การทำซ้ำ การดัดแปลง เผยแพร่โปรแกรมมคอมพิวเตอร์แก่สาธารณชนรวมทั้งการนำต้นฉบับหรือสำเนาดังกล่าวออกให้เช่า ดดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
2.การละเมิดลิขสิทธิโดยทางอ้อม คือ การกระทำทางการค้า หรือการกระทำที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการละเมิดสิทธิดังกล่าว โดยกระทำรู้อยุ่แล้วว่างานใดได้ทำขึ้นดดดยละเมิดลิขสิทธิให้เช่าซื้อ เสนอให้เช่า
การเข้าุถึงข้อมูล
ปัจจุบันการเข้าใช้งานดปรแกรมหรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งาน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเข้าไปดำเนินการต่างๆ กับข้อมุลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้ระบบ เช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น